SEO Difficulty คืออะไร สำคัญต่อ Google อย่างไร?

SEO Difficulty

ในโลกของการตลาดออนไลน์และการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google หนึ่งในคำศัพท์ที่นักการตลาดดิจิทัล เจ้าของเว็บไซต์ และผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ต้องเจออยู่เสมอคือคำว่า SEO Difficulty หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่ยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า SEO Difficulty คืออะไร และเหตุใดตัวชี้วัดนี้จึงมีความสำคัญต่อการวางกลยุทธ์การทำอันดับเว็บไซต์บน Google อย่างแท้จริง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก SEO Difficulty ตั้งแต่ความหมาย หลักการคำนวณ ความสำคัญ ไปจนถึงวิธีนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำ SEO

SEO Difficulty คืออะไร

SEO Difficulty คืออะไร

SEO Difficulty คือค่าที่ใช้วัด “ความยากง่าย” ในการทำให้คีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ ติดอันดับหน้าแรกของ Google โดยพิจารณาจากการแข่งขันของเว็บไซต์ที่ติดอันดับอยู่แล้ว ค่าดังกล่าวช่วยให้เราประเมินได้ว่าการทำ SEO หรือการเลือกใช้บริการรับทำ SEO สำหรับคีย์เวิร์ดนั้นต้องใช้เวลา ทรัพยากร และความพยายามมากน้อยเพียงใด

โดยทั่วไป SEO Difficulty มักถูกแสดงเป็นตัวเลขตั้งแต่ 0–100 ซึ่ง

  • ค่ายิ่งต่ำ = แข่งขันน้อย ทำอันดับได้ง่าย เหมาะกับเว็บไซต์ใหม่หรือธุรกิจที่เริ่มต้นใช้บริการรับทำ seo
  • ค่ายิ่งสูง = แข่งขันสูง ต้องใช้กลยุทธ์ SEO ขั้นสูง เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์หรือเอเจนซี่รับทำ seo มืออาชีพ

SEO Difficulty แตกต่างจาก Keyword Difficulty หรือไม่

หลายคนสงสัยว่า SEO Difficulty คืออะไร และแตกต่างจาก Keyword Difficulty อย่างไร ในทางปฏิบัติ คำว่า SEO Difficulty และ Keyword Difficulty มักถูกใช้แทนกันได้ โดยมีความหมายใกล้เคียงกันมาก

  • Keyword Difficulty มักใช้เรียกในบริบทของเครื่องมือ
  • SEO Difficulty เป็นคำที่ใช้ในเชิงกลยุทธ์ภาพรวมของการทำ SEO

ทั้งสองคำต่างหมายถึงระดับความยากในการแข่งขันเพื่อทำอันดับคีย์เวิร์ดบน Google

Google ใช้ SEO Difficulty โดยตรงหรือไม่

หนึ่งในคำถามสำคัญคือ Google ใช้ค่า SEO Difficulty เป็นปัจจัยจัดอันดับหรือไม่ คำตอบคือ Google ไม่ได้ใช้ SEO Difficulty โดยตรง เพราะ SEO Difficulty เป็นตัวชี้วัดที่ถูกสร้างขึ้นโดยเครื่องมือ SEO ไม่ใช่อัลกอริทึมของ Google

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Google ใช้จริง ได้แก่

  • คุณภาพคอนเทนต์
  • ความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ด
  • Backlinks และ Authority
  • User Experience
  • Page Speed และ Core Web Vitals

 

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เองคือองค์ประกอบหลักที่เครื่องมือ SEO นำมาคำนวณเป็นค่า SEO Difficulty นั่นเอง

SEO Difficulty คำนวณจากอะไรบ้าง

เพื่อให้เข้าใจว่า SEO Difficulty คืออะไร อย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องรู้ว่าค่านี้ถูกคำนวณจากปัจจัยใดบ้าง โดยทั่วไปจะประกอบด้วย

คำนวณ SEO Difficulty

1. จำนวนและคุณภาพ Backlinks

เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ มักมี Backlinks จำนวนมากจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ยิ่งคีย์เวิร์ดใดมีคู่แข่งที่มี Backlinks แข็งแกร่ง ค่า SEO Difficulty ก็จะสูงขึ้น

2. Domain Authority และ Page Authority

เครื่องมือ SEO จะวิเคราะห์ความแข็งแรงของโดเมนและหน้าเว็บที่ติดอันดับ เช่น เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์แบรนด์ใหญ่ หรือเว็บไซต์ที่มีอายุยาวนาน

3. คุณภาพและความยาวของคอนเทนต์

หากหน้าเว็บอันดับต้น ๆ มีเนื้อหาลึก ครอบคลุม และตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ค่า SEO Difficulty จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

4. Search Intent

คีย์เวิร์ดที่มี Search Intent ชัดเจน เช่น เชิงซื้อขาย หรือเชิงข้อมูล มักมีการแข่งขันสูงกว่าคีย์เวิร์ดทั่วไป

ค่า Keyword Difficulty เท่าไหร่ถือว่ายาก

เมื่อเข้าใจแล้วว่า SEO Difficulty คืออะไร คำถามถัดมาที่หลายคนมักสงสัยคือ “ค่า Keyword Difficulty เท่าไหร่ถึงจะถือว่ายาก” เนื่องจากเครื่องมือ SEO ส่วนใหญ่มักแสดงค่า SEO Difficulty หรือ Keyword Difficulty เป็นตัวเลขตั้งแต่ 0–100 การตีความตัวเลขเหล่านี้อย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อ

การวางกลยุทธ์ SEO ให้สอดคล้องกับศักยภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้งานได้จริง เราสามารถแบ่งระดับ SEO Difficulty ออกเป็น 5 ช่วงหลัก ดังนี้

  • 0–20 : SEO Difficulty ต่ำมาก (Easy) แข่งขันต่ำ เหมาะกับเว็บไซต์ใหม่หรือเว็บที่ Authority ยังไม่สูง ทำอันดับได้ค่อนข้างเร็ว ใช้ On-page SEO และคอนเทนต์ที่ตรง Search Intent ก็สามารถสร้าง Traffic เริ่มต้นได้ดี
  • 21–40 : SEO Difficulty ต่ำ–กลาง (Moderate) การแข่งขันไม่สูงมาก แต่ต้องเริ่มวางแผน SEO อย่างเป็นระบบ เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์คุณภาพและ Backlinks บ้าง สามารถสร้าง Traffic คุณภาพและต่อยอดเชิงธุรกิจได้
  • 41–60 : SEO Difficulty กลาง–สูง (Challenging) การแข่งขันค่อนข้างสูง ต้องใช้คอนเทนต์คุณภาพสูงและ Backlinks ที่น่าเชื่อถือ เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีฐานผู้เข้าชมแล้ว และต้องการขยายการมองเห็นในตลาด
  • 61–80 : SEO Difficulty สูง (Hard) แข่งขันกับเว็บไซต์แบรนด์ใหญ่ ต้องใช้เวลา งบประมาณ และกลยุทธ์ SEO ครบด้าน เหมาะสำหรับธุรกิจที่เน้นสร้างแบรนด์และผลลัพธ์ระยะยาว
  • 81–100 : SEO Difficulty สูงมาก (Very Hard)การแข่งขันสูงที่สุด มักเป็นคีย์เวิร์ดยอดนิยมของตลาด เหมาะสำหรับแบรนด์ใหญ่หรือเว็บไซต์ Authority ที่มีความน่าเชื่อถือและงบประมาณสูงเท่านั้น

SEO Difficulty สำคัญต่อ Google อย่างไร

แม้ Google จะไม่ใช้ค่า SEO Difficulty โดยตรง แต่ความสำคัญของ SEO Difficulty คือช่วยให้เราเข้าใจ “สนามแข่งขัน” ที่ Google สร้างขึ้น การรู้ว่า SEO Difficulty คืออะไร ทำให้เรามองเห็นภาพรวมว่า Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพเว็บไซต์ระดับใดในแต่ละคีย์เวิร์ด SEO Difficulty จึงเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจ ไม่ใช่ปัจจัยจัดอันดับโดยตรง แต่เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนความเข้มข้นของอัลกอริทึม Google ในคีย์เวิร์ดนั้น ๆ

Google กับ SEO Difficulty

SEO Difficulty กับการวางกลยุทธ์ SEO

การเข้าใจอย่างแท้จริงว่า SEO Difficulty คืออะไร ไม่ได้ช่วยเพียงแค่การเลือกคีย์เวิร์ดเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของการวางกลยุทธ์ SEO ในภาพรวม ตั้งแต่การกำหนดทิศทางคอนเทนต์ การบริหารทรัพยากร ไปจนถึงการคาดการณ์ผลลัพธ์ในระยะสั้นและระยะยาว หากธุรกิจหรือเว็บไซต์ขาดความเข้าใจในเรื่อง SEO Difficulty การทำ SEO อาจกลายเป็นการลงทุนที่ใช้เวลานาน แต่ให้ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า

1. เลือกคีย์เวิร์ดให้เหมาะกับเว็บไซต์

หนึ่งในประโยชน์หลักของการเข้าใจว่า SEO Difficulty คืออะไร คือช่วยให้สามารถเลือกคีย์เวิร์ดได้เหมาะสมกับสถานะของเว็บไซต์ในปัจจุบัน เว็บไซต์ใหม่หรือเว็บไซต์ที่ยังมี Domain Authority ต่ำ ไม่ควรเริ่มต้นด้วย SEO Keyword ที่มี SEO Difficulty สูง เนื่องจากต้องแข่งขันกับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีทั้ง Backlinks และความน่าเชื่อถือสะสมมาอย่างยาวนาน

กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการเลือกคีย์เวิร์ดที่มี SEO Difficulty ต่ำถึงปานกลาง โดยเฉพาะกลุ่ม Long-tail Keyword ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงสูงและตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้งาน เมื่อเว็บไซต์สามารถทำอันดับได้ง่ายขึ้น ก็จะเริ่มมี Traffic คุณภาพเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ Google มองว่าเว็บไซต์มีคุณค่า และค่อย ๆ เพิ่ม Authority ในระยะยาว เมื่อฐานแข็งแรงแล้ว จึงค่อยขยับไปแข่งขันในคีย์เวิร์ดที่มี SEO Difficulty สูงขึ้นได้อย่างมั่นคง

2. บริหารเวลาและงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ

การรู้ว่า SEO Difficulty คืออะไร ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์และนักการตลาดสามารถบริหารเวลาและงบประมาณได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น คีย์เวิร์ดที่มี SEO Difficulty สูงมักต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตคอนเทนต์คุณภาพสูง การทำ Backlinks การปรับปรุงเทคนิค SEO รวมถึงระยะเวลาที่ต้องรอผลลัพธ์ซึ่งอาจกินเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี

ในทางตรงกันข้าม คีย์เวิร์ดที่มี SEO Difficulty ต่ำจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์เร็วกว่า เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างยอดเข้าชมในระยะสั้น หรือเว็บไซต์ที่มีงบประมาณจำกัด การวิเคราะห์ SEO Difficulty ล่วงหน้าจึงช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนผิดพลาด และทำให้สามารถวางแผนงบประมาณ SEO ได้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น

3. วาง Content Plan อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

เมื่อเข้าใจว่า SEO Difficulty คืออะไร การวางแผนคอนเทนต์จะไม่ใช่การเขียนบทความแบบสุ่มอีกต่อไป แต่เป็นการสร้าง Content Plan ที่มีโครงสร้างชัดเจน โดยสามารถแบ่งคีย์เวิร์ดออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ Short-tail, Mid-tail และ Long-tail Keyword ตามระดับความยากและการแข่งขัน

  • Long-tail Keyword (SEO Difficulty ต่ำ)
    ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการดึง Traffic คุณภาพและสร้างฐานผู้เข้าชม

  • Mid-tail Keyword (SEO Difficulty ปานกลาง)
    ใช้เพื่อขยายการมองเห็นของเว็บไซต์และเพิ่มความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น ๆ

  • Short-tail Keyword (SEO Difficulty สูง)
    ใช้เป็นเป้าหมายระยะยาว เมื่อเว็บไซต์มี Authority และความน่าเชื่อถือเพียงพอ

การวาง Content Plan ในลักษณะนี้ช่วยให้เว็บไซต์เติบโตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ Google และลดความเสี่ยงในการแข่งขันเกินศักยภาพของเว็บไซต์ในช่วงเริ่มต้น

SEO Difficulty กับ Long-tail Keyword

Long-tail Keyword มักมี SEO Difficulty ต่ำกว่า เพราะมีการแข่งขันน้อยและเจาะจงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า การเข้าใจว่า SEO Difficulty คืออะไร จะช่วยให้คุณมองเห็นคุณค่าของ Long-tail Keyword ในการสร้างยอดเข้าชมที่มีคุณภาพ ตัวอย่างเช่น

  • คีย์เวิร์ดกว้าง: “SEO” (Difficulty สูง)
  • Long-tail: “SEO Difficulty คืออะไร” (Difficulty ต่ำกว่า)

เครื่องมือวัด keyword difficulty มีอะไรบ้าง

ค่า Keyword Difficulty

เครื่องมือยอดนิยมที่ใช้วิเคราะห์ SEO Difficulty ได้แก่

  • Ahrefs
  • SEMrush
  • Moz
  • Ubersuggest
  • KWFinder

    Ahrefs, SEMrush, Moz, Ubersuggest และ KWFinder ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักการตลาดดิจิทัลและผู้ให้บริการรับทำ SEO นิยมใช้อย่างแพร่หลาย แต่ละเครื่องมือมีสูตรและปัจจัยในการคำนวณ SEO Difficulty แตกต่างกัน เช่น จำนวนและคุณภาพ Backlinks ความแข็งแรงของโดเมน และการแข่งขันในหน้าแรกของ Google ดังนั้นค่า SEO Difficulty ที่ได้อาจไม่เท่ากันในแต่ละแพลตฟอร์ม ควรใช้ตัวเลขเหล่านี้เป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจ พร้อมวิเคราะห์คู่แข่งจริงร่วมด้วย ไม่ควรยึดเป็นตัวเลขตายตัวในการวางกลยุทธ์ SEO

วิธีใช้ SEO Difficulty ให้ได้ผลจริง

การใช้ SEO Difficulty ให้ได้ผลจริง ไม่ควรดูเพียงตัวเลขจากเครื่องมือเท่านั้น แต่ต้องวิเคราะห์คู่แข่งหน้าแรกด้วยตนเอง เพื่อเข้าใจจุดแข็ง–จุดอ่อนของคอนเทนต์ จากนั้นสร้างเนื้อหาที่ดีกว่าในแง่คุณภาพ ความครบถ้วน และประสบการณ์ผู้ใช้ ไม่ใช่แค่ยาวกว่า ควบคู่กับการวางแผนสร้าง Backlinks อย่างเป็นธรรมชาติ และปรับปรุง UX รวมถึง Core Web Vitals ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ของ Google ที่สำคัญคือควรใช้ SEO Difficulty เป็น “เข็มทิศ” สำหรับการวางกลยุทธ์ ไม่ใช่กฎตายตัวในการตัดสินใจทำ SEO

SEO Difficulty คืออะไร และควรให้ความสำคัญแค่ไหน

SEO Difficulty คืออะไร? SEO Difficulty คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยวัดระดับการแข่งขันของคีย์เวิร์ดบน Google แม้จะไม่ใช่ปัจจัยจัดอันดับโดยตรง แต่เป็นตัวช่วยเชิงกลยุทธ์ที่ทำให้การทำ SEO มีทิศทาง ชัดเจน และคุ้มค่ามากขึ้น หากคุณเข้าใจ SEO Difficulty อย่างถูกต้อง และใช้ควบคู่กับการสร้างคอนเทนต์คุณภาพ การทำ SEO จะไม่ใช่เรื่องของการเดาอีกต่อไป แต่เป็นการวางแผนอย่างมีระบบ และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ Google ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

Ariomarketing ผู้ให้บริการรับทำ SEO ในประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ SEO Difficulty อย่างละเอียดก่อนเริ่มวางกลยุทธ์ โดยจะประเมินระดับการแข่งขันของคีย์เวิร์ด วิเคราะห์โครงสร้างเว็บไซต์ คู่แข่งในหน้าแรกของ Google และศักยภาพของโดเมน เพื่อเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและมีโอกาสทำอันดับได้จริง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับSEO Difficulty คืออะไร

SEO Difficulty คืออะไร และมีหน้าที่อะไรในการทำ SEO

SEO Difficulty คือค่าที่ใช้ประเมินระดับความยากง่ายในการทำให้คีย์เวิร์ดหนึ่งติดอันดับบนหน้าแรกของ Google โดยอ้างอิงจากการแข่งขันของเว็บไซต์ที่ติดอันดับอยู่แล้ว เช่น ความแข็งแรงของ Backlinks คุณภาพคอนเทนต์ และ Authority ของโดเมน หน้าที่หลักของ SEO Difficulty คือช่วยให้นักการตลาดและเจ้าของเว็บไซต์ตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ดได้เหมาะสมกับศักยภาพของเว็บไซต์ ลดความเสี่ยงในการทำ SEO ที่ใช้ทรัพยากรสูงแต่ไม่เห็นผล

SEO Difficulty ไม่ได้เป็นปัจจัยจัดอันดับโดยตรงของ Google เนื่องจากเป็นค่าที่เครื่องมือ SEO ภายนอกคำนวณขึ้นมา อย่างไรก็ตาม SEO Difficulty มีความสำคัญทางอ้อม เพราะสะท้อนระดับการแข่งขันของปัจจัยที่ Google ใช้จริง เช่น คุณภาพคอนเทนต์ Backlinks ความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ด และประสบการณ์ผู้ใช้ ดังนั้นการเข้าใจค่า SEO Difficulty ช่วยให้วางกลยุทธ์สอดคล้องกับแนวทางของ Google ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ค่า SEO Difficulty มีผลโดยตรงต่อการวางแผนคอนเทนต์ เพราะหากคีย์เวิร์ดมีค่า Difficulty ต่ำ จะเหมาะสำหรับสร้างบทความเพื่อดึง Traffic ในระยะสั้น โดยใช้ On-page SEO และเนื้อหาที่ตรง Search Intent แต่หากค่า Difficulty สูง จำเป็นต้องวางแผนคอนเทนต์เชิงลึก สร้างความน่าเชื่อถือ และทำ Backlinks อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับเป้าหมายระยะยาวมากกว่า

สำหรับเว็บไซต์ใหม่หรือเว็บไซต์ที่ Domain Authority ยังไม่สูง ควรเริ่มจากคีย์เวิร์ดที่มี SEO Difficulty ต่ำถึงปานกลาง โดยเฉพาะกลุ่ม Long-tail Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจงและการแข่งขันน้อย วิธีนี้ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับได้เร็ว สร้าง Traffic คุณภาพ และสะสมความน่าเชื่อถือในสายตา Google ก่อนขยับไปแข่งขันในคีย์เวิร์ดที่ยากขึ้นในอนาคต

การใช้ SEO Difficulty อย่างถูกต้องไม่ควรมองเป็นตัวเลขตายตัวหรือข้อจำกัดในการทำ SEO แต่ควรใช้เป็นแนวทางในการประเมินการแข่งขันเบื้องต้น ควบคู่กับการวิเคราะห์คู่แข่งหน้าแรกจริง ดูคุณภาพคอนเทนต์ โครงสร้างเว็บไซต์ และ UX หากใช้ SEO Difficulty เป็น “เข็มทิศ” ในการวางกลยุทธ์ จะช่วยให้การทำ SEO มีทิศทาง ชัดเจน และคุ้มค่ามากขึ้น