หากคุณดำเนินธุรกิจและมีเว็บไซต์ คุณอาจเคยสังเกตเห็นตัวเลือก “Mark as Pillar Content” (ทำเครื่องหมายว่าเป็นเนื้อหาหลัก) ในปลั๊กอิน WordPress อย่าง Rank Math หรือ Yoast SEO ซึ่งธุรกิจจำนวนมากละเลยฟีเจอร์นี้ไป แต่สำหรับผู้ที่ต้องการติดอันดับสูงขึ้นบน Google โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอย่างกรุงเทพ Pillar Content เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
Pillar content (บางครั้งเรียกว่า cornerstone content) คือ บทความขนาดยาวที่มีรายละเอียดครบถ้วน และน่าเชื่อถือ ซึ่งครอบคลุมหัวข้อกว้าง ๆ และทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางหลัก สำหรับหัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้อง ลองนึกภาพว่าเป็น สถานีกลาง ที่บทความทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของคุณ (cluster posts) มาเชื่อมต่อกัน ตัวอย่างเช่น
บริษัทเอเจนซี่การตลาดดิจิทัลในกรุงเทพ อาจเขียนบทความหลัก (pillar post) ในหัวข้อ “สุดยอดคู่มือ SEO ในประเทศไทย”
ส่วนบทความย่อย (cluster posts) ที่เกี่ยวข้องอาจรวมถึง
นี่คือวิธีการทำงานใน 4 ขั้นตอนง่ายๆ
หากคุณใช้ปลั๊กอิน SEO อย่าง Rank Math หรือ Yoast SEO คุณอาจสังเกตเห็นตัวเลือกให้ “ติ๊ก” เนื้อหาหลัก (pillar content) หรือเนื้อหาหลัก (cornerstone content) นี่คือเหตุผลที่คุณควรทำเครื่องหมายไว้เสมอ
การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการติดอันดับในการแข่งขันทางการตลาดที่สูง
มีตัวเลือกในตัวสำหรับทำเครื่องหมายเนื้อหาหลัก (pillar content)
แนะนำการเชื่อมโยงภายใน
มี Schema สำหรับ Local SEO สำหรับธุรกิจในประเทศไทย
มีฟีเจอร์ Cornerstone Content พร้อมกับการตรวจสอบความสามารถในการอ่านและความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
ช่วยสร้างลิงก์ภายในโดยอัตโนมัติระหว่างเนื้อหาหลัก (pillar) และเนื้อหาเสริม (cluster content)
ประหยัดเวลาสำหรับเอเจนซี่ SEO และบล็อกเกอร์
เพิ่มสารบัญที่คลิกได้ในบทความหลักขนาดยาว ช่วยปรับปรุงการนำทางและประสบการณ์ผู้ใช้
สำหรับธุรกิจในท้องถิ่น เช่น บริษัทรับออกแบบเว็บไซต์ เอเจนซี่ SEO และเอเจนซี่การตลาดดิจิทัล Pillar Content ถือเป็นกลยุทธ์ SEO ที่ทรงพลังมาก โดยมีประโยชน์หลัก ดังนี้
สมมติว่าคุณดำเนินธุรกิจออกแบบเว็บไซต์ในกรุงเทพ นี่คือตัวอย่างวิธีการจัดโครงสร้างคอนเทนต์แบบเสา (Pillar Content)
หน้าหลัก (Pillar Page)
“คู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับการออกแบบเว็บไซต์ในประเทศไทย”
หน้าคลัสเตอร์ (Cluster Pages)
กลยุทธ์นี้จะช่วยให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงาน และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในการค้นหาทั้งคำค้นทั่วไป และคำค้นเฉพาะเจาะจง
Pillar Content ไม่ได้จำกัดเฉพาะเอเจนซี่ขนาดใหญ่ แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็ก ก็สามารถได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์นี้เช่นกัน การสร้าง Pillar Content และออกแบบเว็บไซต์ WordPress อย่างถูกวิธีถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือของเนื้อหา พัฒนา SEO และ ดึงดูดลูกค้าที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
เริ่มต้นด้วยการระบุหัวข้อหลักของธุรกิจคุณ สร้างคู่มือหรือบทความเชิงลึก และเชื่อมโยงไปยังบทความคลัสเตอร์ที่เกี่ยวข้อง เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ คุณจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านการจัดอันดับ การเข้าชมแบบออร์แกนิกที่มากขึ้น และภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในสายตาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
Pillar Content คือบทความหลักที่มีความยาวและครอบคลุมเนื้อหาในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งอย่างครบถ้วน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยจะเชื่อมโยงไปยังบทความย่อยอื่น ๆ (เรียกว่า Cluster Content) และในขณะเดียวกันบทความย่อยเหล่านั้นก็ลิงก์กลับมาหา Pillar Content ด้วย เพื่อสร้างโครงสร้างเนื้อหาที่มีระบบและช่วยให้ SEO ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Pillar Content ช่วยปรับโครงสร้างของเว็บไซต์ให้มีระเบียบและช่วยให้ Google เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาแต่ละชิ้นได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking) เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน และช่วยให้คีย์เวิร์ดต่าง ๆ มีโอกาสแสดงผลในการค้นหามากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของ SEO
หากคุณใช้ปลั๊กอิน SEO อย่างเช่น Rank Math หรือ Yoast คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยติ๊กเลือกช่องที่เขียนว่า “Mark as Pillar Content” หรือ “Cornerstone Content” ในหน้าตั้งค่าของโพสต์ การทำเช่นนี้จะเป็นการแจ้งให้ปลั๊กอินและ Google ทราบว่าโพสต์นี้เป็นหน้าเนื้อหาหลักที่สำคัญบนเว็บไซต์ของคุณ
Pillar Content มักเป็นบทความที่ยาวกว่า มีความน่าเชื่อถือมากกว่า และเน้นคีย์เวิร์ดกว้างหรือหัวข้อหลักของเว็บไซต์ ส่วนบทความทั่วไปหรือที่เรียกว่า Cluster Content จะเน้นหัวข้อย่อยหรือประเด็นเฉพาะเจาะจง และมีหน้าที่สนับสนุน Pillar Content โดยการลิงก์กลับไปยังบทความหลัก
ปลั๊กอินยอดนิยมของ WordPress ที่รองรับการทำ Pillar Content ได้แก่:
เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถทำเครื่องหมาย ปรับแต่ง และเชื่อมโยงเนื้อหาระหว่าง Pillar Content และ Cluster Content ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้แน่นอน Pillar Content ที่ใส่คีย์เวิร์ดท้องถิ่น เช่น “ออกแบบเว็บไซต์ในกรุงเทพฯ” หรือ “บริษัท SEO ในประเทศไทย” จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในการค้นหาแบบ Local โดยเฉพาะเมื่อมีบทความย่อยที่เกี่ยวข้องซึ่งเน้นคีย์เวิร์ดย่อยหรือคำค้นแบบระบุพื้นที่ (Long-tail และ Location-based keywords) มาสนับสนุนเพิ่มเติม
โดยทั่วไป บทความ Pillar Content ที่ดีควรมีความยาวประมาณ 1,500–3,000 คำ เพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญในหัวข้อนั้น ๆ และมอบคุณค่าเชิงลึกให้กับผู้อ่าน อย่างไรก็ตาม คุณภาพของเนื้อหาสำคัญกว่าจำนวนคำ เพราะเป้าหมายคือการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและน่าเชื่อถือมากที่สุด